วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Mexico - Amazing Hotel of Pipes











R9 เส้นทางขนส่งผลไม้ไทยสู่ตลาดจีน


R9 เส้นทางขนส่งผลไม้ไทยสู่ตลาดจีน
ราคาผลไม้วันนี้ - มังคุด  60 บาท/กก. ทุเรียน 90 บาท/กก.  ลำไย 140 บาท/กก. ท่านไม่ได้ตาฝาดไปหรอกครับ ราคาข้างต้นเป็นราคาขาย ณ วันนี้จริงๆ เพียงแต่เป็นราคาที่ขายกันอยู่ในตลาดของกว่างซี (เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง) มณฑลทางตอนใต้ของจีน ไม่ใช่ราคาขายในประเทศไทย


       หลายท่านคงทราบว่า จีนเป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดของไทย ปีๆ หนึ่ง ไทยส่งผลไม้ไปจีนแผ่นดินใหญ่มากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณผลไม้ที่ไทยส่งไปขายทั่วโลก คิดเป็นเม็ดเงินก็เป็นหลักหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว โดยมีมณฑลกวางตุ้ง (ภาคใต้) และนครเซี่ยงไฮ้ (ภาคตะวันออก) เป็นท่าเรือและตลาดหลักที่ใช้นำเข้าและขายส่งผลไม้ไทยเพื่อกระจายไปสู่พื้นที่อื่นๆ อันกว้างใหญ่ของจีน
แต่ในระยะหลังๆ หลายท่านอาจเคยได้ยินผ่านๆ ว่า ปัจจุบัน นอกจากการขนส่งทางเรือไปยังกวางตุ้งและเซี่ยงไฮ้แล้ว ถนน “R9” ที่เชื่อมระหว่างภาคอีสานของไทยไปยังมณฑลกว่างซีของจีน โดยผ่านลาวและเวียดนาม ได้กลายมาเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่พ่อค้าไทยใช้ส่งผลไม้ไปจีน
จากสถิติของทางการจีน เมื่อปี 2553 ผลไม้ที่ไทยส่งไปยังจีนผ่าน R9 มีน้ำหนักรวม 2.43 ล้าน กก.  มูลค่าประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (90 ล้านบาท)  ตัวเลขดังกล่าว อาจฟังดูเยอะ แต่ในความเป็นจริง สถิติดังกล่าว เป็นเพียงประมาณ 1 เปอร์เซนต์ของมูลค่าการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนทั้งหมด

สถิติยังชี้ให้เห็นว่า การขนส่งผลไม้ไทยผ่าน R9 มีการเติบโตที่ไม่ต่อเนื่อง พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ยังลุ่มๆ ดอนๆ ซึ่งขัดกับสิ่งที่ควรจะเป็น
ในบทความนี้ เราจะพาท่านไปรู้จักกับข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนทาง R9 ไม่ว่าจะเป็นโอกาสและความท้าทาย สถิติต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และทิศทางในอนาคต โดยขอเริ่มจากข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ R9 ครับ
มารู้จักกับ R9
R9 ในความหมายที่ใช้ในการขนส่งผลไม้จากไทยไปจีน หมายถึง เส้นทางถนนที่ออกจากไทยที่มุกดาหาร ผ่านสะหวันนะเขตของลาว ด่านสะหวัน/ลาวบ๋าว ฮาดิน ถั่นหวา และฮานอยของเวียดนาม ไปเข้าจีนทางด่านโหยวอี้กวาน เมืองผิงเสียง เขตฯ กว่างซีจ้วง
ระยะทางดังกล่าวมีความยาว 1,500 กว่ากม. ทั้งนี้ นอกจาก R9 แล้ว อันที่จริง ถนนที่เชื่อมไทยกับจีนยังมีอีกหลายเส้น อาทิ R8 (หนองคาย ด่านปากซัน แยกน้ำทอน ด่านน้ำพาว ด่านเกาแจว วินห์ ฮานอย ด่านโหยวอี้กวาน) และ R12 (นครพนม- คำม่วน ด่านนาพาว ด่านจาลอ วินห์ ฮานอย ด่านโหยวอี้กวาน) โดยกรณีของ R12 ในปลายปี 54 น่าจะมีผู้นิยมใช้มากขึ้น เพราะนอกจากจะมีสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่เปิดให้บริการซึ่งจะทำให้การขนส่งเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้นแล้ว R12 ยังถือเป็นถนนที่เชื่อมไทยกับจีนที่มีระยะทางสั้นที่สุดอีกด้วย (ประมาณ 1,029 กม.)
อย่างไรก็ดี สำหรับสินค้าผลไม้ ปัจจุบัน R9 เป็นเส้นทางจากภาคอีสานไทยเพียงเส้นทางเดียวที่ระบุไว้ในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการตรวจสอบและกักกันโรคสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและจีน (ลงนามเมื่อกลางปี 2552) ซึ่งเป็นเอกสารทางกฎหมายที่ช่วยให้การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและสะดวกมากยิ่งขึ้น อันเป็นผลให้ R9 ได้รับความนิยมในการขนส่งผลไม้ไปจีนมากกว่าเส้นทางอื่นๆ
R9 เริ่มเป็นที่รู้จักและถูกใช้ประโยชน์ในการขนส่งผลไม้มาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะภายหลังจากที่ไทยและจีนเริ่มลดภาษีนำเข้าผักและผลไม้ให้กันและกันเหลือ 0 เปอร์เซนต์ (ตามพิกัดอัตราศุลกากร ตอนที่ 07-08 ภายใต้กรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน) ตั้งแต่ปลายปี 2546 เป็นต้นมา
นอกจากด้านการขนส่งแล้ว ปัจจุบัน R9 เริ่มเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าในการเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ทางตอนใต้ของจีน (รวมถึงเมืองกุ้ยหลิน สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก) และได้ท่องเที่ยวในลาวหรือเวียดนามด้วยในการเดินทางครั้งเดียว
แม้ว่าการขนส่งผลไม้ทาง R9 มีต้นทุนที่สูงกว่าการขนส่งผลไม้ทางเรือไปยังมณฑลกวางตุ้งหรือนครเซี่ยงไฮ้อยู่มาก เท่าที่ได้รับการบอกเล่า R9 มีต้นทุนการขนส่งผลไม้ต่อตู้คอนเทนเนอร์ 40 ฟุต ประมาณ 90,000 – 100,000 บาท (ออกจากหนองคาย) ขณะที่การขนส่งทางเรือฯ มีต้นทุนระหว่าง  1,500 – 1,700 ดอลลาร์ สรอ. (จากท่าเรือถึงท่าเรือ) แต่ผู้ประกอบการหลายราย ก็เลือกใช้ R9 เพราะมีความได้เปรียบเรื่องระยะเวลาการขนส่ง กล่าวคือ ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน จากไทย ขณะที่การขนส่งทางเรือใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ซึ่งสำหรับผลไม้ซึ่งต้องการความใหม่และสดแล้ว การร่นระยะเวลาขนส่งได้ถึง 4-5 วัน ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญมาก
การนำเข้าผลไม้ ณ ด่านโหยวอี้กวาน (ประเทศจีน)
ผลไม้ไทยที่ถูกส่งผ่านถนน R9 จะไปเข้าจีนที่โหยวอี้กวาน ซึ่งเป็นด่านพรมแดนสากลของจีน (เขตฯ กว่างซีจ้วง) ที่เชื่อมกับด่านหูหงี่ (Huu Nghi) จังหวัดหลั่งเซินฝั่งเวียดนาม
จากสถิติ ปี 2550 ผลไม้ที่ไทยที่จีนนำเข้าทางด่านโหยวอี้ มีมูลค่าประมาณ 3.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (น้ำหนักรวม 5.7 ล้าน กก.) ปี 2551 มูลค่าลดลงเหลือ 2.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (น้ำหนักรวม 3.2 ล้าน กก.) ปี 2552 มูลค่ากลับลดลงไปอีกเหลือเพียง 1.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (น้ำหนักรวม 1.39 ล้าน กก.) ขณะที่ปี 2553 มูลค่าตีกลับขึ้นมาได้เป็น 3.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (น้ำหนักรวม 2.43 ล้าน กก.)
ผลไม้ไทยที่มาเข้าทางด่านนี้ โดยมากจะเป็นมังคุด ลำไย ทุเรียน กล้วย และส้มโอ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในอดีต จีนเคยนำเข้าผลไม้บางชนิดทางด่านนี้มากเป็นพันๆ ตัน อาทิ ส้มและมะม่วง แต่ในระยะหลังๆ กลับไม่พบสถิติการนำเข้าผลไม้เหล่านี้ทางด่านโหยวอี้เลย
ปัญหาและอุปสรรค
สถิติที่ได้กล่าวถึงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า การใช้ R9 ขนส่งผลไม้จากไทยไปจีน ยังคงเป็นไปในแบบ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายซึ่งนอกจากจะไม่สอดคล้องกับยอดส่งออกผลไม้ไทยไปจีนในภาพรวมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังขัดกับความคาดหวังของทั้งรัฐบาลไทยและจีนที่ได้ร่วมกันออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้เส้นทางดังกล่าวเพื่อการขนส่งผลไม้ระหว่างกัน รวมถึงการลงนามในพิธีสารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การขนส่งผลไม้ตามเส้นทาง R9 เมื่อเดือน มิ.ย. 2552 ด้วย
สภาพการณ์ดังกล่าวได้นำมาสู่คำถามว่า ทั้งๆ ที่มีศักยภาพมาก แต่เหตุใด R9 จึงไม่สามารถกลายเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งผลไม้จากไทยไปจีน หรืออย่างน้อยที่สุด   เหตุใด R9 จึงไม่สามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็นได
สมมติฐานในเบื้องต้นที่ถูกใช้เพื่อตอบคำถามข้างต้น คือ R9 ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย หรือถึงแม้จะมีผู้รู้จักแล้ว แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมของผู้ประกอบการ เข้าทำนองว่า รู้จักแล้ว ลองแล้วด้วย แต่ไม่ติดใจ
หาก R9 ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จึงไม่ถูกใช้ประโยชน์เท่าที่ควร เป็นสิ่งที่เวลาและการบอกต่อๆ กันไป น่าจะช่วยแก้ไขได้ ประมาณว่า ใช้ดีจึงบอกเพื่อน
แต่หากเป็นเพราะผู้ที่เคยใช้งาน R9 เพื่อส่งผลไม้แล้ว ไม่ประทับใจ ก็ควรต้องมาวิเคราะห์กันโดยละเอียดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นแล้ว R9 ก็จะเลือนหายไปตามกาลเวลา เพราะไม่มีการบอกต่อๆ กันไปถึงประโยชน์ของ R9 ในการขนส่งผลไม้ จากการศึกษาข้อมูลต่างๆ และสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกผลไม้ทาง R9 สามารถวิเคราะห์ได้คร่าวๆ ว่า การที่ R9 (ยัง) ไม่ติดตลาด มาจากหลายสาเหตุรวมๆ กัน สรุปได้ ดังนี้
หนึ่ง R9 มีต้นทุนการขนส่งที่มากโขอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการขนส่งผลไม้ทางเรือไปขึ้นฝั่งจีนที่มณฑลกวางตุ้งและนครเซี่ยงไฮ้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องต้นทุนการขนส่งที่ไม่เท่ากันในแต่ละครั้งด้วย ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งให้ข้อคิดเห็นว่า แม้จะแพงกว่า แต่หาก R9 มีต้นทุนการขนส่งที่แน่นอน พวกเขาก็จะสามารถคำนวณต้นทุนสินค้าและราคาขายได้ เพื่อให้มีกำไรคุ้มค่ากับการลงทุน
สอง ความไม่สะดวกของระบบการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพถนนและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ตามทาง โดยเฉพาะในส่วนที่วิ่งผ่านลาวและเวียดนาม และการต้องขนย้ายผลไม้หลายครั้ง (เพราะต้องเปลี่ยนรถขนส่งเมื่อข้ามจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง) ซึ่งล้วนส่งผลต่อความสดใหม่ของผลไม้
สาม การประเมินราคากลางเพื่อเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ณ ด่านโหยวอี้กวาน (ร้อยละ 13) หลายท่านอาจทราบแล้วว่า แม้ไทยกับจีนจะใช้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน เพื่อยกเว้นการภาษีนำเข้าระหว่างกัน แต่ตามระบบของจีน จีนจะเรียกเก็บ VAT จากสินค้าที่จีนนำเข้าจากประเทศต่างๆ ณ ด่านที่นำเข้าเลย (ซึ่งอัตรา VAT ของจีนสูงกว่าไทย)
...ในประเด็นนี้ ผู้ประกอบการขนส่งผลไม้ทาง R9 ให้ข้อมูลว่า การที่ผลไม้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีมากในตลาดจีน ประมาณว่าเป็น ผลไม้ไฮโซราคากลางที่ถูกใช้เป็นฐานเพื่อคำนวณ VAT บางครั้งจึงสูงกว่าราคาที่ขายจริง และสูงกว่าราคากลางของผลไม้ประเภทเดียวกันที่จีนนำเข้าจากประเทศอื่น (เช่น มังคุดไทย มีราคากลางเพื่อประเมิน VAT สูงกว่ามังคุดเวียดนาม) ดังนั้น จึงทำให้ผลไม้ไทยประสบปัญหาต้นทุนสูงและสูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน
สี่ โครงสร้างการค้าขายผลไม้ไทยในจีนที่เป็นอยู่ (ยัง)ไม่เอื้อต่อการขนส่งทาง R9 กล่าวคือในปัจจุบัน ผลไม้ไทยเมื่อเข้าสู่ประเทศจีนจะถูกกำหนดราคาขายและระบบการจำหน่ายโดยตลาดเจียงหนาน นครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ขณะที่ในกว่างซี (มณฑลที่ด่านโหยวอี้กวานตั้งอยู่) ยังไม่มีผู้ประกอบการขายส่งผลไม้มากนัก ทำให้เมื่อผลไม้ไทยถูกส่งมาเข้าทาง R9 แล้ว ก็กระจายต่อไปยังมณฑลอื่นๆ ไม่ค่อยได้ ต้องถูกส่งต่อไปยังตลาดเจียงหนานอยู่ดี
...ในประเด็นนี้ มีเกร็ดที่น่าสนใจว่า แม้แต่ตลาดที่ขายผลไม้ไทยในนครหนานหนิง (เมืองเอกของกว่างซี) ซึ่งอยู่ห่างจากด่านโหยวอี้กวานประมาณ 200 กม. ยังต้องไปนำผลไม้ไทยมาจากตลาดเจียงหนาน ซึ่งอยู่ห่างจากด่านโหยวอี้กวานกว่า 800 กม. มิได้รับตรงมาจากผู้ประกอบการที่ด่านโหยวอี้กวาน อย่างไรก็ดี ระบบการค้าขายแบบนี้ น่าจะเปลี่ยนไปบ้างในอนาคตอันใกล้ เพราะในนครหนานหนิง กำลังจะมีการเปิดตลาดขายส่งผักและผลไม้ขนาดใหญ่ที่ทันสมัย (ศูนย์ Hyperion ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทจีนกับฝรั่งเศส) ซึ่งสามารถเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการรับผลไม้ไทยโดยตรงจากด่านโหยวอี้มาขายในนครหนานหนิง ตลอดจนกระจายต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ ของจีนได้ หากผู้ประกอบการไทยสนใจ ก็สามารถศึกษาและมาลงทุนในธุรกิจนี้ เพื่อต่อยอดการใช้ R9 ได้ครับ
ปัญหาต่าง ๆ ข้างต้น เป็นเพียงในส่วนที่เกี่ยวกับการขนส่งผ่าน R9 ที่ผลไม้ไทยต้องเผชิญ แต่ในความเป็นจริง ศักยภาพในการแข่งขันของผลไม้ไทยที่เข้ามาทางด่านโหยวอี้ ยังมีความท้าทายอื่น ๆ อีกอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่
หนึ่ง การที่เวียดนามสามารถใช้ประโยชน์จากนโยบายจากการค้าชายแดนกับจีน เพื่อส่งออกผลไม้ผ่านจุดผ่อนปรนมายังเมืองผิงเสียง (เมืองที่ด่านโหยวอี้ตั้งอยู่) ได้โดยไม่ต้องเสียภาษีใดๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษีนำเข้าหรือ VAT ซึ่งจีนอนุญาตให้ชาวชายแดนนำเข้าได้ไม่เกินมูลค่า 8,000 หยวน (ประมาณ 36,00 บาท) ต่อวันต่อคน  อ่านไม่ผิดหรอกครับ ผลไม้มูลค่า 36,00 บาท ต่อวันต่อคน!
ผู้ประกอบการหลายคน ให้ข้อมูลว่า นโยบายการค้าชายแดนดังกล่าว ส่งผลให้มีพ่อค้าหัวใสจำนวนมาก นำผลไม้ไทย (อาทิ ทุเรียน และมังคุด) ไปสวม อ๋าวหญ่ายหรือแปลงสัญชาติเป็นผลไม้เวียดนาม เพื่อไม่ต้องเสีย VAT ครับ ซึ่งจุดนี้เอง อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งว่า เหตุใด สถิติที่เป็นทางการของการขนส่งผลไม้ไทยไปจีนผ่าน R9 ถึงไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น (เพราะตามระบบจีน ไม่มีการบันทึกข้อมูลในระบบศุลกากรของชาวชายแดนที่ขนส่งผลไม้มูลค่าไม่เกิน 8,000 หยวน/คน/วัน)
นอกจากนี้ ยังช่วยตอบข้อสงสัยด้วยว่า ทำไม...ปริมาณและมูลค่าการนำเข้าทุเรียนไทย หรือที่คนจีนเรียกว่า ไท่กั๋วหลิวเหลียนของด่านโหยวอี้กวาน จึงลดลงอย่างฮวบฮาบ กล่าวคือ จาก 6 แสนกว่า กก. ในปี 50 เหลือเพียง 4 หมื่นกว่า กก. ในปี 53 แต่กลับเห็นได้อย่างดาดดื่นในท้องตลาดของกว่างซี ตั้งแต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรูยันหาบเร่ข้างถนน (ก็มีการเอาทุเรียนไทยไปสวมอ๋าวหญ่ายแล้วนำเข้าโดยชาวชายแดนจีน-เวียดนามไงครับ!)
สอง ผลไม้ไทยยังมีคู่แข่งอีกมากในตลาดจีน โดยเฉพาะผลไม้ที่ทั้งจีนและประเทศเพื่อนบ้านของไทยก็ผลิตได้เช่นเดียวกับไทย อาทิ กล้วยจากเวียดนาม มะม่วงเมืองไป๋เซ่อ ลิ้นจี่เมืองชินโจว และส้มของกว่างซี รวมทั้งผลไม้หลายชนิดที่จีนนำเข้าจากไต้หวัน ซึ่งเน้นตลาดบน อาทิ ชมพู่ น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอ และสับปะรด
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
ถนน R9 ที่เชื่อมภาคอีสานของไทยกับตอนใต้ของจีน เป็นทางเลือกที่ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยใช้ขนส่งผลไม้จากไทยไปขายในตลาดจีน แม้ว่ามูลค่าและปริมาณการขนส่งผลไม้ไทยผ่าน R9 จะยังคงมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับยอดรวมทั้งหมดของผลไม้ที่จีนนำเข้าจากไทย กอปรกับการขนส่งทาง R9 ต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทความนี้ แต่ในภาพรวม การใช้ R9 ตลอดจนถนนเส้นอื่นๆ เพื่อขนส่งผลไม้ไทย ก็ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดในเรื่องระยะเวลาการขนส่งที่สั้นกว่าการไปทางเรือถึงเกือบ 3 เท่า
ในส่วนของกว่างซี มณฑลทางตอนใต้ซึ่งรัฐบาลจีนกำหนดให้เป็น ประตูสู่อาเซียนรวมถึงเป็น ฮับเชื่อมโยงอาเซียนกับพื้นที่จีนตอนใน โอกาสของการขยายตลาดผลไม้ไทยก็ยังมีอยู่สูง เนื่องจากผลไม้ไทยได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจีนมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน ทุเรียน มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ และน้อยหน่าของไทย ก็สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ตลาดค้าส่งผลไม้ ตลาดสด หรือแม้แต่หาบเร่ข้างทางอยู่แล้ว จากการสำรวจคร่าว ๆ พบว่า นอกจากผลไม้ต่างๆ ข้างต้นแล้ว กล้วยไข่ สละ ชมพู่ เงาะ และมะม่วงของไทยเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มจะเติบโตได้ดีในตลาดจีน โดยเฉพาะตลาดกว่างซี
เมื่อคำนึงถึงบริบทว่า กว่างซีเป็นประตูหน้าด่านของ R9 ขณะที่ไทยก็สามารถใช้กว่างซีเป็นฐานในการรักษาตลาดผลไม้เดิมและเปิดตลาดใหม่ไปสู่มณฑลอื่นๆ ของจีน โดยเฉพาะในภาคตะวันตกและภาคกลางได้ R9 จึงเป็นทั้งโอกาสและสิ่งที่ควรต้องส่งเสริมให้มีการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชน (ผู้ส่งออก และเกษตรกรชาวสวน) ของไทยสามารถร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้มีการใช้เส้นทางนี้เพิ่มขึ้นได้
ในส่วนของภาครัฐ ปัจจุบัน ส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานของกระทรวงเหล่านี้ที่ประจำการอยู่ในจีน ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อผลักดันให้มีการใช้ R9 ตลอดจนการขยายตลาดผลไม้ไทยในจีนอยู่แล้ว โดยมาตรการที่ควรริเริ่มหรือดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป ได้แก่
(1) หามาตรการลดต้นทุนการขนส่งทางบกจากภาคอีสานไทย
(2) ส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจพ่อค้าคนกลางและผู้กระจายสินค้า เพื่อสร้างจุดนัดพบใหม่ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายผลไม้ รวมถึงการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะตลาดในภาคตะวันตกของจีนซึ่งยังมีลู่ทางแจ่มใส
(3) โฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและภาพลักษณ์ของผลไม้ไทย ตลอดจนจัด Road Show และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เพื่อให้ผลไม้ไทยเป็นที่ชื่นชอบในระยะยาว
(4) ส่งเสริมการปลูกผลไม้นอกฤดูกาล เพื่อให้ขายในตลาดจีนได้อย่างต่อเนื่องทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวของจีน
(5) หลีกเลี่ยงการปลูกผลไม้ชนิดเดียวกันกันจีน เพื่อให้เกิดการค้าสองทาง กล่าวคือปัจจุบัน โดยมาก หลังจากรถบรรทุกขนผลไม้ไทยมาส่งที่ด่านโหยวอี้แล้ว จะตีรถเปล่ากลับ ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสูง
(6) ศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงข้อด้อยของผลไม้ไทยบางชนิด เช่น ปัญหาเปลือกดำและช้ำง่าย

ห่วงโซ่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


โกศล ดีศีลธรรม
Koishi2001@yahoo.com


       โลกทุกวันนี้เผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมจนลุกลามเป็นภาวะโลกร้อน (Global Warming) ที่ส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติ ทำให้องค์กรทั่วโลกและผู้ประกอบการไทยเองต่างให้ความร่วมมือแก้ปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นประเด็นคู่กับสังคมโลกอีกนาน อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคชาวจีนกว่า 3,000 คน โดยมหาวิทยาลัยชิงหัว (Tsinghua University) พบว่ากว่า 73% ของผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าจากบริษัทที่มีศีลธรรมและเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม กว่า 50% เห็นว่าบริษัทท้องถิ่นในประเทศ (Domestic) มีระดับความรับผิดชอบต่อสังคมระดับพอใช้ได้
ขณะที่ 30% ของกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าบริษัทท้องถิ่นในประเทศจีนมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่ระดับที่น่าพอใจ ส่วนบริษัทข้ามชาติถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความรับผิดชอบและคืนกำไรให้สังคมมากกว่าบริษัทท้องถิ่น ศาสตราจารย์ Zhao Shuguang แห่ง Tsinghua Media Survey Lab เปิดเผยว่า บริษัทข้ามชาติมักได้เปรียบบริษัทจีนทั้งในแง่การจัดการ เทคโนโลยี เงินทุนและการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทจีนจะตามทันการทำ CSR ของบริษัทเหล่านี้
ความปลอดภัยของสินค้าเป็นประเด็นทาง CSR สำคัญอันดับ 1 ที่ผู้บริโภคจีนคำนึงถึงและมีผลต่อภาพลักษณ์เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของเหล่าผู้ผลิตจีนอย่างมาก ตามมาด้วยเรื่องผลกระทบจากการผลิตที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ความสนใจในเรื่องความโปร่งใสในการบริหารงานนั้นมาเป็นอันดับสาม ดังนั้นสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง P&G และผู้ผลิตน้ำดำอย่าง Coca-Cola เป็นสองแบรนด์แรกที่ผู้บริโภคจีนเห็นว่าใช้หลักความรับผิดชอบต่อสังคมในการดำเนินธุรกิจมากที่สุด หากกล่าวถึงสินค้ากลุ่มยานยนต์พบว่า Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันมีความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่น่าสนใจคือ องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งในเอเชียกำลังให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนและตั้งเป้าหมายที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ทิศทางกิจกรรม CSR มุ่งประเด็นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและส่งผลให้องค์กรต้องพัฒนากระบวนการที่สอดคล้องกับห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) ทั้งภาครัฐและเอกชนหันมาทุ่มเม็ดเงินลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานทางเลือกมากขึ้นเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาการบริหารห่วงโซ่อุปทานได้สนับสนุนการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ผลการพัฒนาดังกล่าวได้นำมาซึ่งความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมและเกิดกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นที่มา ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว โดยเฉพาะประเด็นการควบคุมมลพิษและของเสียที่ถูกปล่อยออกจากกระบวนการห่วงโซ่อุปทาน เช่น การลดไอเสียจากรถขนส่ง การขนส่งช่วงเวลากลางคืน (เพื่อไม่ให้เกิดจราจรติดขัด) รวมถึงการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์เพื่อขจัดขยะและลดของเสีย เป็นต้น
รูปที่ 1 กรอบแนวคิดห่วงโซ่อุปทานสีเขียว

การบริหารจัดห่วงโซ่อุปทานสีเขียวจึงเป็นแนวคิดใหม่เพื่อจัดการสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลให้องค์กรดำเนินการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับคู่ค้า สะท้อนว่าสิ่งที่ธุรกิจทั่วโลกให้ความสนใจไม่ใช่เพียงแค่ผลกำไรหรือส่วนแบ่งการตลาดแต่ยังมุ่งรักษาสมดุลของโลกและสร้างความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือกันระหว่างคู่ค้ากับผู้ส่งมอบต้องดำเนินการสอดคล้องกับแนวคิดรักษาสิ่งแวดล้อม การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมอาจแสดงด้วยการตรวจสอบและออกใบรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่าง ISO14001 ให้กับผู้ผลิตหรือคู่ค้า ดังกรณีโตโยต้าผลักดันให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและกลุ่มผู้ให้บริการกับโตโยต้าดำเนินการพัฒนาระบบคุณภาพให้ได้ใบรับรองมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมุ่งลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากกิจกรรมบำรุงรักษาจึงผลักดันให้ศูนย์บริการและตัวแทนจำหน่ายดำเนินการพัฒนาให้ได้ใบรับรองมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO14001 โดยทั่วไปองค์กรมีความพยายามลดความสูญเปล่าเพื่อสร้างผลกำไรและความสามารถการแข่งขันที่มีผลต่อการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
การลดความสูญเปล่าจะส่งผลโดยตรงต่อการลดมลภาวะอากาศ น้ำและที่ดิน โดยมุ่งแนวคิดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบจนกระทั่งหมดอายุการใช้งานหรือเรียกว่านิเวศวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Ecology) เช่น การใช้วัสดุที่เป็นพิษหรือวัสดุที่ใช้พลังงานแปรรูปน้อยที่สุด การใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สะดวกต่อการซ่อมแซมอย่างกรณี BMW ได้ออกแบบรถยนต์โดยชิ้นส่วนย่อยตลอดทั้งคันสามารถทำการถอดแยกและถูกนำกลับมาใช้ได้อีกซึ่งส่งผลต่อการลดความสูญเปล่า แนวคิดการลดความสูญเปล่าจึงครอบคลุมทุกกระบวนการตั้งแต่ การออกแบบ การผลิต การกระจายสินค้าและดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางประหยัดการใช้วัสดุและพลังงานด้วยการนํากลับมาใช้ใหม่   กระบวนการลดความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย

รูปที่ 2 ปัจจัยสร้างความสูญเสียให้สิ่งแวดล้อม

* การรีไซเคิล (Recycle) คือการแยกชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ออกตามประเภทวัตถุดิบและนำวัตถุดิบที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยกระบวนการแปรรูปซึ่งนอกจากลดปริมาณขยะแล้วยังลดการใช้พลังงานและมลพิษที่เกิดกับสิ่งแวดล้อม เช่น การรีไซเคิลเครื่องพิมพ์ (Printer) โดยทั่วไปเครื่องพิมพ์ 1 เครื่องประกอบด้วยพลาสติกราว 48% โลหะเหล็ก 33% โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก 9% และวัสดุอื่น ๆ ราว 10% ส่วนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งออกไปจำหน่ายประเทศเครือสหภาพยุโรป จะต้องผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อลดการใช้ทรัพยากรโลกและบรรเทาสภาวะโลกร้อนซึ่งเป็นการช่วยรักษาสมดุลอุณหภูมิโลก โดยมีความพยายามนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ผ่านกระบวนการผลิต ดังกรณี JVC ตั้งเป้าหมายการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิลพลังงานที่สูญเปล่าในกระบวนการผลิตราว 99%
ผลิตภัณฑ์ทุกหมวดถูกออกแบบและผ่านกระบวนการผลิตเพื่อสิ่งแวดล้อม เรียกว่าว่าผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) เป็นการนำวัตถุดิบที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมาผลิตใหม่เพื่อลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งส่วนของอะไหล่และชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตทางเจวีซี (JVC) ได้กำหนดนโยบายการกำจัดขยะถึง 6 ขั้นตอนเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทางเจวีซีควบคุมการผลิตตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำและผ่านกระบวนการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารชั้นนำอย่างริโก้ (RICOH) มุ่งมั่นที่จะลดปริมาณการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งลดการใช้วัสดุในกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Packaging) ที่ใช้กระดาษแข็งแบ่งเป็นชั้นและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ถึง 98% ด้วยการนำไปรีไซเคิลในส่วนโครงบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติก
* การใช้ซ้ำ (Reuse) หมายถึง การนำผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ซึ่งถูกใช้งานแล้วและพร้อมเข้าสู่ช่วงการนำกลับมาใช้ใหม่ทั้งในรูปผลิตภัณฑ์เดิมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การนำถุงพลาสติกมาใส่ของหรือใช้เป็นถุงขยะ การนำยางรถยนต์มาทำเก้าอี้ การนำขวดพลาสติกมาดัดแปลงเป็นที่ใส่ของ เป็นต้น แนวคิดการออกแบบเพื่อการนำกลับมาใช้ซ้ำ(Design for Reuse) ได้มุ่งออกแบบให้ผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นมีชิ้นส่วนที่ใช้ร่วมกันได้ นั่นคือ เมื่อผลิตภัณฑ์รุ่นแรกหยุดการผลิตแล้วยังสามารถเก็บคืนและนำบางชิ้นส่วนมาใช้ในการผลิตรุ่นต่อไปได้
ส่วนสายการประกอบรถยนต์นั้นถุงมือผ้าจัดเป็นของเสียซึ่งการนำไปกำจัดนั้นยังคงเป็นการส่งไปเป็นพลังงานทดแทนเสริมในเตาปูนซิเมนต์ แต่ทางผู้ผลิตรถยนต์เล็งเห็นถึงความสำคัญในการลดปริมาณถุงมือผ้านี้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสายการผลิตและการทำงานของพนักงานจึงได้ทดลองนำถุงมือผ้าไปซักในโรงงานที่ได้มาตรฐานและผ่านกระบวนการทำความสะอาดเพื่อนำกลับมาให้พนักงานใช้ใหม่ ส่งผลให้เกิดการลดปริมาณการใช้ถุงมือผ้าใหม่ถึง 36%
รูปที่ 3 กระบวนการนำกลับมาใช้

* การนำมาผ่านกระบวนการผลิตใหม่ (Remanufacturing) คือ กระบวนการที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานหรือชิ้นส่วนที่ล้าสมัยเพื่อนำมาถอดแยก (Disassembly) และเข้าสู่กระบวนการผลิต โดยผลิตผลหรือชิ้นส่วนที่ผ่านกระบวนการจะถูกนำมาตบแต่งและประกอบใหม่ (Reassembly) ที่ยังคงรูปแบบผลิตภัณฑ์เดิม แนวทางดังกล่าวแตกต่างกับการรีไซเคิลและการใช้ซ้ำ โดยเฉพาะการไม่ลดคุณค่าชิ้นงานหลังผ่านกระบวนการ (Value-Added Recovery)

   
รูปที่ 4 ขั้นตอนกระบวนการผลิตใหม่ (Remanufacturing)

ด้วยเหตุนี้แนวคิดห่วงโซ่อุปทานสีเขียวได้สนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อม ตลอดจนประเด็นการพิจารณาจัดซื้อและการบริหารความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ส่งมอบซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยให้เศรษฐกิจเกิดการขับเคลื่อนตามแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่วนประเด็นการบริหารธุรกิจมองว่าระบบห่วงโซ่อุปทานสีเขียวสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถการแข่งขันและภาพลักษณ์ให้กับองค์กรธุรกิจ (Corporate Image) การพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียวส่งผลให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจและสามารถลดต้นทุนห่วงโซอุปทาน ปัจจุบันองค์กรชั้นนำทั้งในส่วนภาครัฐและเอกชนเริ่มดำเนินโครงการห่วงโซ่อุปทานสีเขียว โดยจำแนกแนวทางดำเนินการ ดังนี้
         1.  การสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนให้เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียวโดยให้ความสําคัญกับบทบาทผู้ส่งมอบเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และดําเนินการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังกรณีบริษัทปูนซีเมนต์ไทยสนับสนุนให้ธุรกิจในเครือผ่านการรับรองระบบจัดการสิ่งแวดล้อมและร่วมมือกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยจัดทำโครงการนำร่องห่วงโซ่อุปทานสีเขียวเพื่อช่วยพัฒนาปรับปรุงศักยภาพให้กับผู้ส่งมอบขนาดกลางและขนาดเล็กให้ดำเนินการอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยไม่เป็นการเพิ่มต้นทุนและดำเนินโครงการศึกษาผลกระทบตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) เพื่อประเมินการใช้ทรัพยากรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโลก
         2.  การปรับปรุงผลการปฏิบัติงานเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้ความสําคัญกับผลการปฏิบัติงานภายในของผู้ส่งมอบและลดความเสี่ยงของลูกค้าในการซื้อสินค้า รวมทั้งลดต้นทุนรวม ทำให้มีความจำเป็นที่องค์กรผู้ผลิตหลัก (Maker) และเครือข่ายผู้ส่งมอบต้องคำนึงถึงการรับรองมาตรฐาน ISO14000 เพื่อให้เกิดกระบวนการที่มุ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 

รูปที่ 5 แนวคิดประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (LCA)

กรณีบริษัทโตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้กลยุทธ์ CSR ผ่านการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและแนวคิดนวัตกรรมสีเขียวเพื่อโลกสีขาว (Green Innovation for White World) เป็นไปตามกระแสการตื่นตัวทั่วโลกที่คำนึงถึงการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีในตัวสินค้าให้มีความทันสมัยและคุณภาพการใช้งาน กิจกรรม CSR ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ คือ การปลูกป่าให้ครบ 150 ล้านต้นภายในปี 2010 เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรักษาสมดุลธรรมชาติไว้ให้คงอยู่ 
การประกวดศิลปกรรมนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต โทรทัศน์ทางไกลเพื่อการศึกษาร่วมกับพระราชวังไกลกังวลและกิจกรรมเพื่อเด็ก โตชิบาใช้งบกว่า 400 ล้านบาท เพื่อทยอยปรับสายการผลิตสินค้าใหม่ โดยใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายธรรมชาติและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ภายใต้แคมเปญ "นวัตกรรมสีเขียวเพื่อโลกสีขาว" ผลิตภัณฑ์โตชิบาจะยึดหลัก 3R คือ Reduce, Reuse และ Recycle เพื่อนำไปแปรสภาพกลับมาใช้ได้อีก ตัวอย่างสินค้าสีเขียวของโตชิบา เช่น ตู้เย็นรุ่นลลิมเลดี้มีการพัฒนาฉนวนกันความร้อนพิเศษที่บางลงทำให้มีการใช้วัสดุพื้นผิวตู้เย็นลดลงเมื่อถูกทิ้งก็จะก่อขยะน้อยกว่าตู้เย็นทั่วไป
ขณะเดียวกันยังคงมาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5 ช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดค่าไฟหรืออย่างแอลซีดีทีวี Regza ได้มีการพัฒนาให้เบาลง 30% นอกจากจะลดวัสดุที่ใช้ผลิตแล้วยังลดวัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์และกินไฟลดลง 30% ขณะที่เครื่องซักผ้ามีฟังก์ชัน Zero Standby Power สามารถตัดระบบไฟฟ้าออกจากวงจร เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานไฟฟ้า ขณะที่เสียบปลั๊กเครื่องซักผ้าทิ้งไว้โดยเครื่องไม่ทำงาน หากเป็นเครื่องซักผ้าธรรมดาเมื่อไม่ใช้งานแต่เสียบปลั๊กไว้จะกินไฟหรืออาจเกิดความร้อนทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียหายได้
ส่วนบริษัท เด็นโซ่ (ประเทศไทย) ยึดถือหลักการบริหารจัดการ โดยขอเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และได้รับความไว้วางใจจากคนในสังคมที่ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ เมื่อบริษัทเด็นโซ่ เข้ามาตั้งกิจการในประเทศไทยจึงมีแนวคิดที่จะอุทิศให้กับสังคมไทย แนวคิดการทำ CSR ต้องสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยและสร้างให้เกิดผลกระทบอย่างสร้างสรรค์ต่อสังคมไทย บริษัท เด็นโซ่ มีแนวคิดว่าหากไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทยจะทำให้องค์กรธุรกิจนั้นไม่สามารถทำกิจกรรม CSR อย่างยั่งยืนได้ เพราะอาจได้เพียงแค่สร้างภาพลักษณ์ระยะสั้น แต่ไม่สร้างให้เกิดจิตสำนึกปลูกฝังในจิตใจ ทำให้การทำ CSR ไม่ยั่งยืนอย่าง การรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจภาคการผลิต  บริษัท เด็นโซ่ จำแนกแนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนี้
         1.  ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) เป็นโครงการสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานรัฐหรือองค์กรอิสระในการร่วมส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อสังเกตแต่ละโครงการของบริษัท เด็นโซ่ ในการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บริษัท เด็นโซ่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน โดยทำโครงการผ่านการปลูกฝังจิตสำนึกเยาวชน เช่น โครงการเยาวชน เด็นโซ่ ผู้พิทักษ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม (DENSO YOUTH for EARTH Action Project) มีเจตนารมณ์ที่สอดคล้องกับโครงการทศวรรษแห่งการศึกษานานาชาติเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สนับสนุนโดยองค์การสหประชาชาติเพื่อสร้างจิตสำนึกและสร้างสังคมที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างกลมกลืน
โครงการปีแรกมีนักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจำนวน 20 คน จากประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยได้ผ่านการรับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ณ ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 14 วัน รวมทั้งปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนของชาติเห็นความสำคัญการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างการคัดแยกขยะและนำผลกำไรจากธนาคารขยะรีไซเคิลเป็นทุนสนับสนุนการเรียนการสอนในโรงเรียนต่อไป นอกจากนั้นยังสนับสนุนศูนย์ฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม โดยจัดกิจกรรมปรับปรุงสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนเพื่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนากระบวนการ เรียนรู้ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนและชุมชน ณ โรงเรียนวัดสระจระเข้ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เพื่อเผยแพร่ความรู้และปลูกจิตสำนึกให้นักเรียน คนในชุมชนตระหนักถึงความสำคัญและปัญหาสิ่งแวดล้อม
         2.  การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (Eco Management) เป็นโครงการขยายผลสู่คู่ค้าโดยใช้นโยบายการจัดซื้อ จัดหาวัตถุดิบ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนให้ผู้ส่งมอบจัดตั้งระบบจัดการสิ่งแวดล้อม เด็นโซ่ได้กำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมเรียกว่า “Eco Stage” เพื่อเป็นแนวทางให้คู่ค้าหรือผู้ส่งมอบ (Supplier) ดำเนินการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการน้ำเสีย การจัดการของเสีย อันตราย เป็นต้น โดยใช้ประเมินผลด้านสิ่งแวดล้อมของผู้ส่งมอบวัตถุดิบด้วย หลังประกาศนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ทางเด็นโซ่ได้เชิญตัวแทนของผู้ส่งมอบเยี่ยมชมระบบจัดการสิ่งแวดล้อมของเด็นโซ่ ทำให้ผู้ส่งมอบของเด็นโซ่ส่วนใหญ่สามารถดำเนินการผ่านข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของเด็นโซ่ (Eco Stage) ในปี 2006 กำหนดให้ผู้ส่งมอบเลิกใช้สารอันตรายที่เป็นส่วนประกอบในวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน
เด็นโซ่ได้กำหนดนโยบายและกรอบเวลาให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยกเลิกใช้สารอันตราย คือ ปรอท ตะกั่ว โครเมียม และแคดเมียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบอยู่ในวัตถุดิบและอุปกรณ์ชิ้นส่วนภายในปี 2010 ทำให้การพิจารณาจัดซื้อจากผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหม่ต้องคำนึงถึงการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยคัดเลือกเฉพาะผู้ส่งมอบที่ผ่านเกณฑ์ของเด็นโซ่เท่านั้น  นโยบายการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของเด็นโซ่แสดงถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าบริษัทเด็นโซ่ต้องการคู่ค้าที่มีนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีมาตรฐานเพื่อแสดงให้ลูกค้าทราบว่าวัตถุดิบที่เด็นโซ่นำมาผลิตสินค้ามาจากแหล่งผลิตที่มีระบบจัดการที่มีคุณภาพและปราศจากสารพิษ
         3.  โรงงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (Eco Factory) โดยทำโครงการที่มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตอย่าง โครงการปล่อยของเสียให้เป็นศูนย์ (Zero Emission) ที่นำของเสียจากกระบวนการผลิตไปรีไซเคิลหรือนำไปใช้ประโยชน์แทนการฝังกลบ (Landfill) อย่างการนำของเสียไปรีไซเคิลเป็นเชื้อเพลิงหรือวัสดุทดแทน โดยคำนึงถึงผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองจึงกำหนดเป้าหมายลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุที่เกิดภาวะโลกร้อน ทำให้เด็นโซ่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกากของเสียอันตรายจากกระบวนการผลิต รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและลดผลกระทบที่เกิดต่อสุขอนามัยของพนักงาน โดยเฉพาะสารระเหยประเภท Xylene, Toluene ที่อยู่ในสีทินเนอร์
บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะลดกากของเสียอันตรายให้ได้ 75% การลดใช้น้ำเนื่องจากคาดการณ์ถึงแนวโน้มความต้องการทรัพยากรน้ำของภูมิภาคเอเชียในอนาคต บริษัทจึงคำนึงถึงความจำเป็นในการประหยัดใช้น้ำ โดยกำหนดเป้าหมายลดการใช้น้ำ 15% ภายในปี 2010 (เทียบกับปี 2005) ด้วยหลักการ Reduce และ Reuse
         4.  โลจิสติกส์ (Rationalization Logistics) โดยปรับปรุงการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Returnable Box) แทนการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นกล่องกระดาษที่ใช้ได้ครั้งเดียว เด็นโซ่ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2001 เมื่อปี 2005 กลุ่มบริษัท เด็นโซ่ สามารถลดการใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษหรือไม้ทั้งหมด ประมาณ 107 ตัน
         5.  ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Product) เด็นโซ่มีนโยบายลดสารอันตรายที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะสารอันตราย 4 ชนิดได้แก่ ปรอท, ตะกั่ว, โครเมียม (6+) และแคดเมียม บริษัทกำหนดเป้าหมายการยกเลิกสารอันตรายทั้งหมดในปี 2007 เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม สายผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย ระบบปรับอากาศรถยนต์ ระบบควบคุมเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนจักรยานยนต์และเครื่องจักรในงานก่อสร้าง โดยจัดหาชิ้นส่วนให้กับลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ รวมถึงการทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถรักษาสิ่งแวดล้อม โดยใช้วัตถุที่สามารถนำไปรีไซเคิลและไม่ใช้วัตถุมีพิษ
รูปที่ 6 แนวคิดออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม (Design for Environment)

องค์กรที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจระยะยาวอย่าง โคคา-โคลา ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมรายใหญ่ระดับโลก ประกาศว่า "Water Stewardship" (การพิทักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำ) คือ หัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เนื่องจากน้ำเป็นวัตถุดิบในการผลิตที่สำคัญที่สุดของโคคา-โคลา ใช้น้ำปริมาณมหาศาลจากแหล่งน้ำทั่วโลก (300,000 ล้านลิตรต่อปี) ถ้าหากไม่สนใจหรือมองข้ามปัญหาทรัพยากรน้ำร่อยหรอที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสภาวะโลกร้อน นั่นคือ อนาคตข้างหน้าโคคา-โคลา อาจไม่สามารถทำธุรกิจเดิมได้เมื่อไม่มีน้ำหรือราคาน้ำอาจแพงมากจนไม่คุ้มค่าที่จะผลิตน้ำอัดลมขายได้ ด้วยเหตุนี้โคคา-โคลา ได้ส่งเสริมและอุดหนุนมาตรการพิทักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำทั่วโลกทุกระดับตั้งแต่ระดับภูมิภาค ระดับประเทศไปจนถึงระดับท้องถิ่น โดยมีมาตรการให้ชุมชนมีบทบาทร่วมดูแลรักษาแหล่งน้ำและคุณภาพชีวิตที่ดี
เนื่องจากหากชุมชนต้นน้ำในชนบทอยู่ไม่ได้ที่สุดแล้ว"ชุมชนปลายน้ำ" ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือบริษัทก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะโคคา-โคลา เป็นบริษัทที่อยากทำดีเพื่อสังคมโดยไม่คิดถึงตัวเอง แต่เป็นเพราะตระหนักแล้วว่าความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเงื่อนไขจำเป็นต่อความอยู่รอดระยะยาว อันที่จริงหนทางของโคคา-โคลายังอยู่อีกยาวไกลก่อนที่จะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ชุมชนท้องถิ่นและเอ็นจีโอส่วนใหญ่ว่าเป็นบริษัทที่รับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่มุ่งแต่สร้างภาพเท่านั้น ในปี 2007 บริษัทประกาศเป้าหมายที่จะเป็นบริษัท "Water Neutral" หมายถึงชดเชยน้ำที่ใช้ไปในการผลิต 100% กลับคืนสู่แหล่งน้ำ โดยสร้างมาตรการต่าง ๆ  ด้วย 3R  ได้แก่ Reduce, Recycle, Replenish ร่วมกับ World Wildlife Fund (WWF)
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกว่านั้น คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าปัญหาการขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาระดับท้องถิ่น ไม่ใช่ปัญหาระดับโลกเหมือนกับปัญหาการปล่อยคาร์บอน นั่นคือ บริษัทที่ปล่อยคาร์บอนมากสามารถไปซื้อ Carbon Offset เมืองอื่นหรือประเทศอื่นเพื่อเป็น Carbon Neutral ได้ เพราะการบรรเทาปัญหาขึ้นอยู่กับผลรวม เช่น ทั้งโลกต้องลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ x ตันแต่ละปี เป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดว่าจะไปลดคาร์บอนที่ไหนบ้างแต่ทำแบบนี้กับเรื่องน้ำไม่ได้ ถ้าโรงงานบรรจุขวดของโคคา-โคลา ในรัฐเคราลาประเทศอินเดียใช้น้ำมากจนเบียดบังชาวบ้าน ทำให้พวกเขาเดือดร้อนเพราะไม่มีน้ำใช้ โคคา-โคลา ต้องชดเชยน้ำที่โรงงานนั้นเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ไม่สามารถไปชดเชยน้ำที่ประเทศอื่นเพื่อแก้ปัญหาของชาวอินเดียได้
ปัญหาการขาดแคลนน้ำบาดาลในเคราลาหลังจากที่โคคา-โคลา เปิดโรงงานบรรจุขวด รวมทั้งผลการตรวจสอบพบสารฆ่าแมลงในผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นสาเหตุหลักที่รัฐบาลประกาศห้ามการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคคา-โคลา เมื่อต้นเดือนกันยายนปี 2006 ก่อนที่จะถูกศาลตัดสินให้ยกเลิกคำสั่งในปลายเดือนเดียวกันหลังจากที่บริษัทยื่นประท้วงต่อศาล แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่โคคา-โคลา จะสามารถพิสูจน์ความจริงใจในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม การมองความรับผิดชอบดังกล่าวว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อธุรกิจระยะยาวจัดเป็นแนวคิดที่ดีกว่าการอ้างตัวว่าเป็นบริษัทที่ดีตามระเบียบหรือกฎหมายข้อบังคับ
แม้ว่าประเด็นการจัดซื้อสีเขียว (Green Purchasing) เป็นประเด็นที่กล่าวถึงไม่นาน ผลสำรวจการจัดซื้อสีเขียวในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีองค์กรราว 30% เริ่มดำเนินการจัดหาจัดซื้อที่มุ่งความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม หากการจัดซื้อสีเขียวเชื่อมโยงกับปัจจัยเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจย่อมนำไปสู่ผลประกอบการที่ดีขึ้นซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการจัดซื้อสีเขียว การสร้างกระบวนการจัดซื้อสีเขียวต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและครอบคลุมถึงผลกระทบการตัดสินใจทั้งระบบ คงไม่ใช่เพียงคิดแค่การกดราคาผู้ส่งมอบเท่านั้น ดังกรณีหลอดประหยัดไฟแบบ 23 วัตต์ ราคาประมาณ 180 บาทแพงกว่าหลอดธรรมดา 100 วัตต์ที่มีราคาเพียง 20 บาท
แต่หากมองเรื่องความคุ้มค่าแล้วหลอดประหยัดไฟซึ่งมีอายุใช้งานมากกว่าหลอดธรรมดาถึงราว 10 เท่า ขณะที่ค่าไฟถูกกว่าราวสามเท่าย่อมทำให้การเปลี่ยนมาเป็นหลอดประหยัดไฟย่อมถูกกว่าหลอดธรรมดามาก หากพิจารณาราคาอย่างเดียวย่อมทำให้การตัดสินใจกระบวนการจัดซื้อสีเขียวสวนทางกับเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์? ถ้าคิดถึงผลกระทบทั้งระบบจะพบว่าเกิดค่าใช้จ่ายแฝงในการกำจัดของเสีย รวมทั้งการจัดซื้อสีเขียวยังสนับสนุนการสร้างภาพพจน์องค์กรหรือตราสินค้าด้วย
อย่างกรณีร้านกาแฟสตาร์บัค เดิมกาแฟกับสิ่งแวดล้อมแทบไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่สตาร์บัค มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายกาแฟตลอดและผนวกความพยายามดังกล่าวไว้ในการสร้างแบรนด์อย่างเป็นระบบ โดยล่าสุดได้มีการใช้ถุงขยะที่บางลงซึ่งสามารถลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปสู่แหล่งถมขยะ (Landfills) ถึง 750,000 ตันต่อปี เป็นการลดค่าใช้จ่ายราว 500,000 เหรียญสหรัฐต่อปี การตั้งเป้าหมายการจัดซื้อสีเขียวที่วัดผลได้และกระจายเข้าไปในระบบการจัดซื้ออย่างชัดเจนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไม่เช่นนั้นแล้วการจัดซื้อสีเขียวย่อมจะเป็นเพียงแค่การทำตามกระแส
กรณีศึกษาน่าสนใจอย่างวอลมาร์ท (Wal-Mart) ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาทำการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้จัดส่งสินค้าแต่ละราย เช่น อัตราส่วนปริมาณสินค้าต่อหีบห่อ อัตราส่วนการนำมาใช้ใหม่ของสินค้า อัตราการรีไซเคิล เพื่อนำข้อมูลไปตั้งเป้าหมายและดำเนินการจัดซื้อสีเขียวอย่าง การลดจำนวนหีบห่อสินค้าลง 5% ภายในปี 2013 โดยมีสินค้ากว่า 97,000 รายการเข้าร่วมระบบประเมินดังกล่าวและเลือกผู้ส่งสินค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ย่อมเป็นการสร้างแรงจูงใจที่จะให้ผู้ผลิตสินค้าพยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและร่วมลงทุนสนับสนุนคู่ค้าให้ผลิตสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเครือข่ายองค์กรขนาดขนาดกลางและเล็กที่ร่วมเป็นหุ้นส่วนการดำเนินงาน
กรณีเบนแอนด์เจอรี่ ไอศกรีมยอดนิยมของสหรัฐอเมริกา ได้ยึดมั่นแนวทางบริหารด้วยการเป็นผู้ให้กับสังคมมากกว่าเป็นผู้ตักตวงผลประโยชน์จากผู้บริโภค อาทิ รับซื้อผลผลิตจากชาวไร่โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เพื่อเงินจะถูกส่งถึงมือเกษตรกรโดยตรงหรือรับซื้อส่วนผสมไอศกรีมจากองค์กรสาธารณกุศล ไม่รวมถึงการบริจาคผลกําไรก่อนหักภาษี 7.5 เปอร์เซ็นต์ให้มูลนิธิเบนแอนด์เจอร์รี่ เพื่อนำดอกผลมาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน  เบน แอนด์ เจอร์รี่ ได้ประกาศแผนทดลองนำตู้แช่เย็นปลอดสารเอชเอฟซีมาใช้เป็นครั้งแรกในอเมริกาเพื่อบรรเทาปัญหาโลกร้อน ตู้แช่ไอศกรีมแบบใหม่ที่เบน แอนด์ เจอร์รี่ นำมาใช้ ประหยัดไฟฟ้ามากกว่าตู้เย็นทั่วไป 10 เปอร์เซ็นต์
ตู้แช่ปลอดสารเอชเอฟซีที่นำมาใช้นี้จะใช้ไฮโดรคาร์บอน เช่น โพรเพน (Propane) และบูเทน (Butane) เป็นสารให้ความเย็น แต่เดิมการผลิตตู้เย็นจะใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) เป็นสารให้ความเย็น ต่อมานักวิทยาศาสตร์พบว่าสารชนิดนี้ทำลายชั้นโอโซน ทำให้อุตสาหกรรมผลิตเครื่องทำความเย็นหันมาใช้ เอฟก๊าซ เช่น HCFCs และ HFCs ทำลายโอโซนน้อยกว่า หากสำนักงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (EPA) อนุญาตให้เบน แอนด์ เจอร์รี่ ขยายการทดลองต่อไป คาดว่าบริษัทจะเปลี่ยนตู้แช่ไอศกรีมกว่า 100,000 ตู้ ภายใน 8-10 ปี ส่วนกรีนพีซหวังว่าการทดลองครั้งนี้จะเปิดประตูการใช้สารทำความเย็นแบบธรรมชาติอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา
สำหรับแมคโดนัลด์ดำเนินกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนร่วมกับผู้ส่งมอบวัตถุดิบMcDonald's works with its suppliers to promote socially responsible practices in its supply chain as part of its supply chain strategy.เพื่อส่งเสริมกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมระดับห่วงโซ่อุปทานที่เป็นหนึ่งในกรอบความรับผิดชอบต่อสังคม (This is part of its wider Framework for Corporate Social Responsibility) 
อย่างการรับซื้อถั่วเหลืองที่ปลูกตามธรรมชาติเพื่อเป็นอาหารไก่ในฟาร์ม เนื่องจากผู้บริโภคชาวยุโรปต่อต้านอาหารที่เปลี่ยนถ่ายหน่วยพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอ (GMO) แต่กลายเป็นว่าถั่วเหลืองจากบริษัทคาร์กิลล์ (Cargill) ผู้ส่งมอบวัตถุดิบของแมคโดนัลด์ปลูกถั่วรุกพื้นที่ป่าอะเมซอน เมื่อกรีนพีซทราบปัญหาจึงรวมกลุ่มประท้วงที่หน้าร้านแมคในยุโรปและเผยแพร่บทความชื่อ McAmazon (เมษายน 2006) บอกกล่าวเรื่องราวการทำลายป่าไม้ของแมคโดนัลด์จนแพร่หลายไปทั่วโลก
ไม่น่าเชื่อว่าคู่กรณีจะมาร่วมรณรงค์ประเด็นดังกล่าวด้วยกันได้  บ๊อบ แลงเกิร์ต รองประธานฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคมของแมคโดนัลด์ กล่าวยอมรับตั้งแต่ทราบเรื่องนี้ก็ประกาศงดซื้อถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ทุกชนิดจากเขตป่าอะเมซอน พร้อมให้เวลาผู้ส่งมอบในการหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ 4 เดือนให้หลัง (วันที่ 25 กรกฎาคม ปี 2006) กรีนพีซเผยแพร่เรื่อง McVictory ลงในเว็บไซต์ พร้อมประกาศว่ากรีนพีซและแมคโดนัลด์ได้จับมือร่วมกันทำงานเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างจริงจัง ปรากฏว่าปีนั้นแมคโดนัลด์ทำรายได้รวม 21.5 พันล้านดอลลาร์และกำไรสุทธิ 3.5 พันล้านดอลลาร์ถือเป็นผลสะท้อนที่รวดเร็วต่อนโยบายสีเขียวดังกล่าว
ความจริงแล้วการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของแมคโดนัลด์ไม่ได้เพิ่งทำ หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1989 แมคโดนัลด์ร่วมกับ Environmental Defense Fund (EDF) องค์กรไม่หวังผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อมเป็นพันธมิตรร่วมกัน ทำให้เกิดโครงการดี ๆ เช่น การพิมพ์รายงานประจำปีด้วยกระดาษรีไซเคิลจากผลิตภัณฑ์ของแมคเอง การเลิกใช้กล่องโฟม โดยแมคโดนัลด์และ EDF แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อมสามารถทำไปด้วยกันได้เพื่อพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน 
แมคโดนัลด์มุ่งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ การลดของเสียและรีไซเคิลกว่า 83% ของแพ็คเกจที่ทำจากกระดาษหรือไม่ก็เยื่อไม้และกำจัดส่วนที่ฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นออก ทำให้ลดปริมาณกล่องเฟรนช์ฟรายแมคโดนัลด์ในอเมริกาถึง 1,100 ตัน ในปี 2007 ได้ลดน้ำหนักถ้วยลงเหลือเพียง 32 ออนซ์ ทำให้ใช้พลาสติกเรซินน้อยลง 650 ตันและพยายามใช้วัสดุธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภารกิจลดก๊าซเรือนกระจกเป็นอีกหนึ่งที่แมคโดนัลด์ทำอย่างแข็งขันด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น เพิ่มฉนวนกันความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร ออกแบบอาคารประหยัดพลังงานให้ได้มาตรฐานของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) นอกจากนี้แมคโดนัลด์ยังสนับสนุนการประมงอย่างยั่งยืน(Filet-O-Fish)
ในปี 2001 แมคโดนัลค์ทำงานร่วมกับองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ (Conservation International) หรือ CI เพื่อพัฒนาโปรแกรมตัวชี้วัดการทำประมงอย่างยั่งยืน ทำให้ประมงกว่า 18,000 เมตริกตันหรือ 1 ใน 3 ของการซื้อขายปีนั้น โดยมีแนวโน้มเป็นประมงแบบยั่งยืนมากขึ้น CIยังช่วยแมคโดนัลด์พัฒนาระบบวัดผล การรักษาสิ่งแวดล้อมของผู้ส่งมอบแต่ละรายด้วยทั้งการใช้น้ำ การใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้ผู้ส่งมอบใส่ใจกับปัญหามากขึ้น ทำให้ CI ชื่นชมว่าแมคโดนัลด์เป็นหนึ่งในผู้นำการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก โดยมุ่งดูแลให้คู่ค้าและร้านสาขาทั่วโลกปฏิบัติตามนโยบายสีเขียวของแมคโดนัลด์
กรณีศึกษาที่น่าสนใจของธุรกิจสีเขียวระดับโลก คือ The Body Shop มีแนวคิดการทำตลาดไม่เพียงยึดถือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แต่ยังคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ The Body Shop แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด Beauty & Cosmetics นับตั้งแต่ก่อตั้งมา  The Body Shop ได้นำแนวคิดความใส่ใจกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมมาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญการตลาด โดยใช้ปัญหาสังคมเป็นประเด็นหลักไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านการทดลองกับสัตว์(Against Animal Testing) ผลักดันให้เกิดแนวคิดการช้อปปิ้งอย่างมีจริยธรรม (Ethical Shopping) ทาง Dame Anita Roddick ได้ประกาศเป็นพันธกิจกว่า 30 ปีมาแล้วว่า การดำรงตนเป็นธุรกิจสีเขียว คือ  DNA ของ The Body Shop” โดยมุ่งบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำภายในองค์กร
โครงการสิ่งแวดล้อมได้ถูกจัดทำเพื่อรองรับแนวคิดและสนับสนุนกิจกรรมสิ่งแวดล้อม ด้วยความร่วมมือกับองค์กรอย่าง Greenpeace สร้างแคมเปญ “Save the Whale” จนเกิดภาพลักษณ์การเป็นตัวแทน “Protect the Planet” และเกิดเป็นมูลนิธิเพื่อสมทบทุนในโอกาสต่าง ๆ จนกระทั่งปี 2001 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ The Body Shop หยิบยกประเด็นความเปลี่ยนแปลงบรรยากาศมาเป็นเป้าหมายในงานสิ่งแวดล้อม โดยจับมือกับพันธมิตรอย่างกรีนพีซ (Greenpeace) ให้ร้านค้าและสำนักงานในประเทศอังกฤษของ The Body Shop เปลี่ยนมาใช้รูปแบบพลังงานเรียกว่า Ecotricity ผลิตมาจากพลังงานทดแทนพร้อมกับบุกเบิกแนวทางการใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล โดยขวด PET บรรจุผลิตภัณฑ์ทั้งหมดทำมาจากวัสดุรีไซเคิล 100% 
ทาง The Body Shop ถือเป็นแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกแบรนด์แรกที่สามารถเสนอทางเลือกแนวคิดสีเขียวกับผู้บริโภค ในปี 2008 ทาง The Body Shop ได้สั่งให้สาขาร้านค้าทั่วโลกเปลี่ยนจากการใช้ถุงพลาสติกมาเป็นถุงกระดาษ พนักงานร้านจะประชาสัมพันธ์ถุงผ้า (Bag For Life) ที่ใช้ได้นานกว่าไปด้วย โดยจะถามลูกค้าทุกครั้งที่ซื้อสินค้า เพราะมองว่า แม้ว่าถุงกระดาษจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องทิ้งถุงเลย นั่นคือ หนทางที่ดีที่สุด
ความท้าทายครั้งสำคัญของ The Body Shop คือ การประกาศเป็น “Carbon Neutral Retailer” ภายในปี 2010 เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและหาทางออกให้ทุกกระบวนการทำงานใช้พลังงานทดแทนมากที่สุด โดยมุ้งเน้นไปที่ประเด็นการใช้พลังงานไฟฟ้าในร้านจำหน่ายสินค้า สำนักงาน โกดังจัดเก็บสินค้า ระบบจัดส่งสินค้าและการเดินทางโดยเครื่องบิน  ส่วน ประสิทธิภาพเป็นอีกหนึ่งแนวคิดสำหรับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของ The Body Shop ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ตัวเลข 93% ของระบบการจัดส่งทางรถยนต์ได้ใช้รถยนต์ไฮบริดเป็นหลัก แต่ทาง The Body Shop กลับไม่หยุดอยู่ที่การหันมาใช้รถไฮบริดเท่านั้น เพราะเป้าหมายการลดพลังงาน คือ ลดการใช้พลังงานโดยที่ไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการเป็น Carbon Neutral Retailer ภายในปี 2010 น่าจะเป็นอีกความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญสำหรับธุรกิจ Beauty & Cosmetics อย่าง The Body Shop ที่มุ่งปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อมโลก  การทำ CSR แบบยั่งยืนจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมมากกว่าการแสวงหาผลกำไรหรือยอดขายเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ที่ดีอย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
          1. Joel Makower, Strategies for the Green Economy: Opportunities and Challenges in the New World of Business, McGraw-Hill, 2009.
          2. Thorne, Debbie M., O.C. Ferrell, and Linda Ferrell, Business and Society: A Strategic Approach to Social Responsibility, Houghton Mifflin Company, 2008.
          3. Toyota Motor Corporation, Green Purchasing Guideline, March 2006.
          4. โกศล ดีศีลธรรม, โลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานสำหรับการแข่งขันยุคใหม่, สำนักพิมพ์ฐานบุ๊คส์, 2551.
          5. http://www.bangkokbiznews.com
          6. http://www.brandage.com
          7. http://www.businessthai.co.th
          8. http://www.csrthailand.net
          9. http://www.denso.co.th/
          10. http://www.green.in.th
          11. http://www.mbanewsthailand.com/2010/05/mba-csr-china/
          12. http://mba.nida.ac.th
          13. http://www.mcthai.co.th/
          14. http://www.positioningmag.com
          15. http://www.prachachat.net
          16. http://www.thailca.com
          17. http://www.toyota.co.jp/en/environment/vision/green/pdf/all.pdf
          18. http://www.toyota.co.th/sustainable_plant/sustainable.html