โกศล ดีศีลธรรม
Yield = (ปริมาณปัจจัยนำเข้า)(%ผลิตผลที่มีคุณภาพ)+(ปริมาณปัจจัยนำเข้า)(1-%ผลิตผลที่มีคุณภาพ)(%งานแก้ไข)
ผลิตภาพ
* ผลิตภาพแรงงานทางตรง เป็นอัตราส่วนระหว่างรายได้หรือยอดขายสุทธิ (Net Sales) เทียบกับผลรวมชั่วโมงแรงงาน (Man-hours)
ประสิทธิภาพ
ปัจจุบันองค์กรธุรกิจดำเนินงานภายใต้สภาวะการแข่งขัน ดังนั้นองค์กรส่วนใหญ่จึงมุ่งผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงเพื่อส่งมอบสินค้าไปยังตลาดให้เร็วขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลกำไรตามเป้าหมายให้กับองค์กร ดังนั้นกิจกรรมการผลิตจึงได้มีบทบาทสำคัญต่อการเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ โดยทั่วไปการผลิตเป็นกิจกรรมพื้นฐานที่มีการแปรรูปปัจจัยนำเข้า (Input) ที่ประกอบด้วย วัตถุดิบ แรงงาน พลังงาน ทุน ให้เกิดเป็นผลิตผล (Output) ในรูปของสินค้าหรือบริการโดยมีการเชื่อมโยงกับกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์กร ดังเช่น การวางแผน ออกแบบ จัดซื้อ การตลาด จัดจำหน่าย ดังนั้นผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ (Operation Managers) ของโรงงานจึงมักพิจารณาปัจจัยเพิ่มประสิทธิผลที่สำคัญ ซึ่งประกอบด้วย คุณภาพ ต้นทุน ผลิตภาพ ประสิทธิภาพ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
รูปที่ 1 แผนภาพปัจจัยกระบวนการแปรรูปการผลิต
คุณภาพ
โดยทั่วไปความหมายของ คุณภาพ มักถูกนิยามแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ดังเช่น ในสหรัฐอเมริกาจะนิยามคุณภาพ หมายถึง "ความสอดคล้องกับมาตรฐานทางวิศวกรรม" นั่นคือ หากผลิตภัณฑ์ถูกสร้างตามรายละเอียดในแบบ (Engineering Drawings) ก็จะผ่านข้อกำหนดทางคุณภาพ สำหรับประเทศญี่ปุ่นจะนิยามความหมายของคุณภาพว่า "การผลิตสินค้าที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า" ดังนั้นการวัดผลทางคุณภาพ (Quality Measure) ในระดับองค์กรจึงควรมีการระบุนิยามคุณภาพและประเมินองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น ลูกค้า ผู้จำหน่าย และการประเมินคุณภาพภายใน โดยมีการแจกแจงแสดงรายละเอียดในแต่ละองค์ประกอบ ดังเช่น
* อะไรคือปัจจัยที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
* ปัจจัยและมาตรวัดสำหรับประเมินคุณภาพผู้จำหน่าย (Vendor Quality Analysis)
* การจำแนกสาเหตุและรายละเอียดปัญหาคุณภาพภายใน (Internal Quality)
โดยทั่วไปความหมายของ คุณภาพ มักถูกนิยามแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ดังเช่น ในสหรัฐอเมริกาจะนิยามคุณภาพ หมายถึง "ความสอดคล้องกับมาตรฐานทางวิศวกรรม" นั่นคือ หากผลิตภัณฑ์ถูกสร้างตามรายละเอียดในแบบ (Engineering Drawings) ก็จะผ่านข้อกำหนดทางคุณภาพ สำหรับประเทศญี่ปุ่นจะนิยามความหมายของคุณภาพว่า "การผลิตสินค้าที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า" ดังนั้นการวัดผลทางคุณภาพ (Quality Measure) ในระดับองค์กรจึงควรมีการระบุนิยามคุณภาพและประเมินองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น ลูกค้า ผู้จำหน่าย และการประเมินคุณภาพภายใน โดยมีการแจกแจงแสดงรายละเอียดในแต่ละองค์ประกอบ ดังเช่น
* อะไรคือปัจจัยที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
* ปัจจัยและมาตรวัดสำหรับประเมินคุณภาพผู้จำหน่าย (Vendor Quality Analysis)
* การจำแนกสาเหตุและรายละเอียดปัญหาคุณภาพภายใน (Internal Quality)
แม้ว่าคำว่า "คุณภาพ" จะหมายความถึงนิยามต่าง ๆ เช่น ความเหมาะสมต่อการใช้งาน ความพึงพอใจของลูกค้า และความสอดคล้องกับข้อกำหนดทางวิศวกรรมก็ตาม แต่ปัจจัยที่สำคัญทางคุณภาพที่มีผลต่อการแข่งขัน นั่นคือ
* คุณภาพของการออกแบบ (Quality of Design) โดยมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง หากการออกแบบไม่สามารถตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าอย่างครบถ้วนแล้วก็จะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวของการออกแบบ (Quality of Design Failure)
* ความสอดคล้องทางคุณภาพ (Conformance Quality) เป็นสมรรถนะของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สอดคล้องกับข้อกำหนด (Specifications) หากผลิตภัณฑ์ที่ขาดความสอดคล้องทางคุณภาพถูกส่งมอบให้กับลูกค้าหรือเกิดความเสียหายขณะใช้งานแล้ว ก็จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียภาพพจน์ขององค์กร
* คุณภาพของการออกแบบ (Quality of Design) โดยมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง หากการออกแบบไม่สามารถตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าอย่างครบถ้วนแล้วก็จะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวของการออกแบบ (Quality of Design Failure)
* ความสอดคล้องทางคุณภาพ (Conformance Quality) เป็นสมรรถนะของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สอดคล้องกับข้อกำหนด (Specifications) หากผลิตภัณฑ์ที่ขาดความสอดคล้องทางคุณภาพถูกส่งมอบให้กับลูกค้าหรือเกิดความเสียหายขณะใช้งานแล้ว ก็จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียภาพพจน์ขององค์กร
แนวคิดการวัดผลทางคุณภาพ
การวัดผลทางคุณภาพ สามารถจำแนกได้เป็น
1. การวัดผลทางการผลิต (Manufacturing Measures) โดยใช้ตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น อัตราการเกิดของเสีย ปริมาณงานที่แก้ไข อัตราการส่งมอบที่ตรงเวลา
2. การวัดผลทางการเงิน (Financial Measures) โดยมีตัวชี้วัดในรูปของค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนคุณภาพ (Cost of Quality) ที่จะกล่าวรายละเอียดในส่วนถัดไป
3. การมุ่งวัดผลจากลูกค้า (Customer Oriented Measures) เช่น สมรรถนะการใช้งาน (Performance) รูปลักษณ์ (Features) ความน่าเชื่อถือ (Reliability) ความยอมรับในคุณภาพ (Perceived Quality) เป็นต้น
การวัดผลทางคุณภาพ สามารถจำแนกได้เป็น
1. การวัดผลทางการผลิต (Manufacturing Measures) โดยใช้ตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น อัตราการเกิดของเสีย ปริมาณงานที่แก้ไข อัตราการส่งมอบที่ตรงเวลา
2. การวัดผลทางการเงิน (Financial Measures) โดยมีตัวชี้วัดในรูปของค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนคุณภาพ (Cost of Quality) ที่จะกล่าวรายละเอียดในส่วนถัดไป
3. การมุ่งวัดผลจากลูกค้า (Customer Oriented Measures) เช่น สมรรถนะการใช้งาน (Performance) รูปลักษณ์ (Features) ความน่าเชื่อถือ (Reliability) ความยอมรับในคุณภาพ (Perceived Quality) เป็นต้น
ตัวอย่างมาตรวัดทางคุณภาพ
นอกจากนี้ข้อมูลทางคุณภาพยังแสดงในรูปของค่าผลิตผลดี (Yield) ซึ่งหาได้จากความสัมพันธ์
Yield = (ปริมาณปัจจัยนำเข้า)(%ผลิตผลที่มีคุณภาพ)+(ปริมาณปัจจัยนำเข้า)(1-%ผลิตผลที่มีคุณภาพ)(%งานแก้ไข)
Y = (I)(%G)+(I)(1-%G)(%R)
เมื่อ I = ปริมาณปัจจัยนำเข้าที่เข้าสู่กระบวนการผลิต
%G = เปอร์เซ็นต์ของงานที่มีคุณภาพที่เกิดขึ้น
%R = เปอร์เซ็นต์ของงานบกพร่องที่ต้องแก้ไข
%G = เปอร์เซ็นต์ของงานที่มีคุณภาพที่เกิดขึ้น
%R = เปอร์เซ็นต์ของงานบกพร่องที่ต้องแก้ไข
หากกระบวนการที่มี่ค่า Yield สูง นั่นหมายถึง กระบวนการสามารถผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพระดับที่สามารถยอมรับได้ เช่น หากกระบวนการผลิตชิ้นงาน 100 ชิ้น โดยเกิดข้อบกพร่องขึ้น 2 ชิ้น นั่นคือเกิดค่า Yield ขึ้น 98% อย่างไรก็ตามค่า Yield ก็เป็นเพียงตัวชี้บ่งถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์ ดังนั้นสัดส่วนการเพิ่มของสินค้าที่มีคุณภาพดีโดยการปรับปรุงคุณภาพจะส่งผลต่อการเพิ่มค่า Yield ของผลิตภัณฑ์
ต้นทุน
ต้นทุนเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทต่อการสร้างศักยภาพให้กับองค์กร ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการจัดเก็บข้อมูลทางด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อใช้สำหรับการวางแผนทางการเงินและควบคุมกิจกรรมทางธุรกิจ โดยเชื่อมโยงกับข้อมูลการผลิต ดังเช่น ความสูญเสียในกระบวนการผลิต ค่าโสหุ้ย ค่าแรงงานทางตรงและทางอ้อม ปริมาณของชิ้นงานที่เสร็จสิ้น วัสดุที่ใช้ในกระบวนการ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นอกจากจะใช้สำหรับประมาณ ต้นทุนต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์ (Unit Cost) และจัดทำรายงานสำหรับผู้บริหาร (Management Report) แล้วยังถูกใช้สำหรับประเมินประสิทธิผลการผลิตด้วยตัวชี้วัดซึ่งแสดงในรูปของสัดส่วนต่าง ๆ ดังเช่น
ต้นทุนเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทต่อการสร้างศักยภาพให้กับองค์กร ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการจัดเก็บข้อมูลทางด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อใช้สำหรับการวางแผนทางการเงินและควบคุมกิจกรรมทางธุรกิจ โดยเชื่อมโยงกับข้อมูลการผลิต ดังเช่น ความสูญเสียในกระบวนการผลิต ค่าโสหุ้ย ค่าแรงงานทางตรงและทางอ้อม ปริมาณของชิ้นงานที่เสร็จสิ้น วัสดุที่ใช้ในกระบวนการ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นอกจากจะใช้สำหรับประมาณ ต้นทุนต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์ (Unit Cost) และจัดทำรายงานสำหรับผู้บริหาร (Management Report) แล้วยังถูกใช้สำหรับประเมินประสิทธิผลการผลิตด้วยตัวชี้วัดซึ่งแสดงในรูปของสัดส่วนต่าง ๆ ดังเช่น
รูปที่ 2 แผนภาพโครงสร้างต้นทุน (Cost Structure)
* ต้นทุนแรงงานต่อมูลค่าการผลิต (Labor cost to production value ratio) คือ อัตราส่วนค่าตอบแทนของแรงงานทางตรงเทียบกับมูลค่าผลิตผลที่เกิดขึ้น โดยแสดงถึงการใช้แรงงานในกระบวนการผลิต ในกรณีที่มีการปรับขึ้นค่าแรงอาจทำให้อัตราส่วนนี้สูงขึ้นแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผลลบต่อธุรกิจเสมอไป แต่ต้องพิจารณาควบคู่กับมูลค่าเพิ่มของกระบวนการต่อหน่วยแรงงาน หากสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของมูลค่ากระบวนการต่อหน่วยแรงงานจะถือว่าองค์กรมีผลิตภาพทางแรงงานที่ดีเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายทางแรงงานที่เพิ่มขึ้น
* ต้นทุนค่าวัสดุต่อมูลค่าการผลิต (Material cost to production value ratio) คือ อัตราส่วนที่แสดงด้วยสัดส่วนค่าใช้จ่ายวัตถุดิบต่อมูลค่าผลิตผลที่เกิดขึ้น หากค่าดัชนีนี้มีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับตัวเลขในอดีตหรือค่าเฉลี่ยของกิจการอาจเกิดจากกระบวนการจัดหาวัตถุดิบไม่มีคุณภาพหรือมีความเสียหายจากการจัดเก็บไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตามวัตถุดิบจัดเป็นปัจจัยหลักของการผลิต ดังนั้นการปล่อยให้ค่าต้นทุนวัตถุดิบสูงเกินไปก็จะมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ และผลกำไรขององค์กรในที่สุด ซึ่งควรพิจารณาควบคู่กับอัตราการหมุนของวัตถุดิบ (Raw materials turnover)
ตัวอย่างมาตรวัดทางด้านต้นทุน
ในช่วงปลายศตวรรษที่แล้วได้มีการพัฒนารูปแบบของการบูรณาการระหว่างระบบต้นทุนกับแนวคิดคุณภาพ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมลดความสูญเปล่าที่เกิดจากความบกพร่องทางคุณภาพและรายงานผลในรูปแบบ เรียกว่า ต้นทุนทางคุณภาพ (Cost of Quality) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดความสอดคล้องทางคุณภาพ ทำให้ผู้บริหารเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความบกพร่องทางคุณภาพ (Quality Failure) กับผลกระทบทางผลกำไร ข้อมูลค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้จำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1. ต้นทุนการป้องกัน (Prevention Cost) โดยมุ่งป้องกันไม่ให้เกิดของเสียหรือความบกพร่องขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายการฝึกอบรม การวางแผน ค่าใช้จ่ายส่งเสริมคุณภาพ เป็นต้น
2. ต้นทุนการประเมิน (Appraisal Costs) เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสอบหรือประเมินคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด เช่น ค่าใช้จ่ายการทดสอบวัสดุหรือผลิตภัณฑ์
3. ต้นทุนความผิดพลาดภายใน (Internal Failure Costs) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขงานก่อนที่จะดำเนินการส่งมอบให้กับลูกค้า
4. ต้นทุนความผิดพลาดภายนอก (External Failure Costs) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อพบความบกพร่องหรือของเสีย หลังจากที่ได้ทำการส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้าแล้ว เช่น ค่าใช้จ่ายการซ่อมแซม การส่งของคืน ค่าประกัน และความเสื่อมเสียภาพพจน์ขององค์กร
ตัวอย่างการจำแนกประเภทค่าใช้จ่ายทางคุณภาพ
ผลิตภาพ เป็นการวัดผลการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยนำเข้า เช่น แรงงาน วัตถุดิบ เงินทุน เทียบกับผลิตผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ โดยมีการนำข้อมูลที่จัดเก็บมาแสดงในรูปของมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างทรัพยากรหรือปัจจัยที่นำเข้าสู่กระบวนการ ดังเช่น ปริมาณวัสดุ ชั่วโมงแรงงาน ชั่วโมงการเดินเครื่อง ค่าจ้างแรงงาน เทียบกับผลิตผลที่เกิดขึ้น และแสดงในรูปของอัตราส่วน ดังเช่น
* มูลค่าเพิ่มต่อแรงงาน โดยใช้รายได้จากยอดขายหักด้วยต้นทุนค่าวัสดุและค่าจ้างผู้รับเหมาช่วงหารด้วยจำนวนแรงงานซึ่งเป็นทรัพยากรนำเข้า
* ผลิตภาพแรงงานทางตรง เป็นอัตราส่วนระหว่างรายได้หรือยอดขายสุทธิ (Net Sales) เทียบกับผลรวมชั่วโมงแรงงาน (Man-hours)
* ผลิตภาพวัสดุ (Material Productivity) โดยเทียบยอดขายสุทธิกับผลรวมของต้นทุนค่าวัสดุ (Total Material Cost)
ผลลัพธ์ของการประเมินผลิตภาพจะถูกใช้สำหรับเทียบเคียง (Benchmark) กับดัชนีอุตสาหกรรม ซึ่งจะบ่งบอกถึงประสิทธิผลและศักยภาพในการแข่งขัน รวมทั้งเป็นข้อมูลสำหรับกำหนดแนวทางปรับปรุงกิจกรรมการผลิต
ประสิทธิภาพ (Efficiency) จัดเป็นมาตรวัดผลการดำเนินงานตัวสุดท้าย โดยทั่วไปจะถูกใช้วัดผลการทำงานของแรงงานและเครื่องจักรเทียบกับระดับมาตรฐาน ซึ่งมาตรฐานการทำงานของแรงงานจะถูกกำหนดขึ้นในช่วงของกระบวนการออกแบบและจะถูกระบุในใบแสดงรายละเอียดขั้นตอนการทำงาน (Routing Sheet) ซึ่งจะมีการอัพเดตตามรอบเวลา หากผลการทำงานของแรงงานสูงกว่าระดับมาตรฐาน นั่นหมายถึง เกิดประสิทธิภาพการทำงานในระดับที่สูงกว่า 100% และข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้สำหรับประเมินผลงานเพื่อจ่ายค่าตอบแทนในรูปของโบนัส
สำหรับประสิทธิภาพเครื่องจักรจะใช้ข้อมูลจากข้อกำหนดทางเทคนิคเทียบกับข้อมูลการเดินเครื่องหรืออัตราการใช้เครื่องจักร (Machine Utilization) และข้อมูลปริมาณผลิตผลที่เกิดขึ้นนอกจากนี้การประเมินประสิทธิภาพยังครอบคลุมถึง กระบวนการที่แสดงด้วยความสูญเปล่า การทำงานล่วงเวลาและความปลอดภัยจากการทำงาน ซึ่งการวัดประสิทธิภาพสามารถวัดทั้งในรูปของปัจจัยนำเข้าและผลิตผลที่เกิดขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
* ประสิทธิภาพทางปัจจัยนำเข้า (Input Efficiency) วัดจากการใช้ปัจจัยการผลิตในระดับที่เหมาะสมที่สุด โดยมีการจำแนกได้เป็น
- ประสิทธิภาพจากการจัดสรร (Allocative Efficiency) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ เช่น ทุน แรงงาน วัสดุ ได้มีการจัดสรรหรือรวมในสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด (Optimal Proportions) ดังเช่น อุตสาหกรรมไฮเทคจะมีประสิทธิภาพจากการมุ่งเน้นสัดส่วนของทรัพยากรทุน (Capital Intensive) สูงกว่าสัดส่วนแรงงาน
- ประสิทธิภาพจากการจัดสรร (Allocative Efficiency) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ เช่น ทุน แรงงาน วัสดุ ได้มีการจัดสรรหรือรวมในสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด (Optimal Proportions) ดังเช่น อุตสาหกรรมไฮเทคจะมีประสิทธิภาพจากการมุ่งเน้นสัดส่วนของทรัพยากรทุน (Capital Intensive) สูงกว่าสัดส่วนแรงงาน
- ประสิทธิภาพเชิงเทคนิค (Technical Efficiency) เป็นประสิทธิภาพที่จะเกิดเมื่อไม่มีการเพิ่มทรัพยากรนำเข้าใด ๆ เพื่อสร้างผลิตผลในระดับที่กำหนด
* ประสิทธิภาพทางผลิตผล (Output Efficiency) แสดงด้วยผลิตที่เกิดขึ้นในระดับที่กำหนดไว้ โดยสามารถจำแนกได้เป็น
- ประสิทธิภาพจากขนาด (Scale Efficiency) โดยชี้วัดจากผลการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดอัตราส่วนผลิตผลเทียบกับปัจจัยนำเข้าสูงสุด หรืออาจเรียกว่า Return to scale ซึ่งควรพิจารณาขยายกำลังการผลิตหากตลาดมีการตอบรับ
- ประสิทธิภาพเชิงขอบเขต (Scope Efficiency) หรืออาจเรียกว่า "More Outputs More Efficiently" ดังเช่น กรณีของการควบรวมกิจการ (Merger) เพื่อร่วมสร้างผลิตภัณฑ์หรือการขยายขอบเขตทางธุรกิจ
เอกสารอ้างอิง
1. Gerhard J. Plenert, The Plant Operations Handbook: A Tactical Guide to Everyday Management, Richard D. Irwin, Inc.,1993
2. โกศล ดีศีลธรรม, การเพิ่มผลิตภาพในงานอุตสาหกรรม, สถาบันไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์, 2546
3. โกศล ดีศีลธรรม, กลยุทธ์และกลวิธีการเพิ่มผลิตภาพ, บริษัท เอกซเปอร์เน็ท จำกัด, พิมพ์ครั้งที่ 1, 2546
4. โกศล ดีศีลธรรม, Industrial Management Techniques for Executive, บ. ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน), 2546
5. โกศล ดีศีลธรรม, การบริหารต้นทุนสำหรับนักบริหารยุคใหม่, บ. อินฟอร์มีเดีย อินเตอร์เนชันแนล จำกัด, 2547
1. Gerhard J. Plenert, The Plant Operations Handbook: A Tactical Guide to Everyday Management, Richard D. Irwin, Inc.,1993
2. โกศล ดีศีลธรรม, การเพิ่มผลิตภาพในงานอุตสาหกรรม, สถาบันไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์, 2546
3. โกศล ดีศีลธรรม, กลยุทธ์และกลวิธีการเพิ่มผลิตภาพ, บริษัท เอกซเปอร์เน็ท จำกัด, พิมพ์ครั้งที่ 1, 2546
4. โกศล ดีศีลธรรม, Industrial Management Techniques for Executive, บ. ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน), 2546
5. โกศล ดีศีลธรรม, การบริหารต้นทุนสำหรับนักบริหารยุคใหม่, บ. อินฟอร์มีเดีย อินเตอร์เนชันแนล จำกัด, 2547